วันที่ 22 สิงหาคม 2543 จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทในชื่อ บริษัท ริชชี่แคปปิตอล อัลลายแอนซ์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 0.10 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท ซึ่งในช่วงแรกบริษัทยังไม่ได้ประกอบกิจการใดๆ
วันที่ 22 สิงหาคม 2543 จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทในชื่อ บริษัท ริชชี่แคปปิตอล อัลลายแอนซ์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 0.10 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท ซึ่งในช่วงแรกบริษัทยังไม่ได้ประกอบกิจการใดๆ
บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 9.90 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 0.10ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 10.00 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 990,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท เสนอขายให้แก่นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี ในราคาหุ้นละ 10.00 บาท ทำให้นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.00 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในด้านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
วันที่ 11 กันยายน 2547 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่ 1/2547 มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทจาก บริษัท ริชชี่ แคปปิตอล อัลลายแอนซ์ จำกัด เป็น บริษัทไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด
บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 15.00 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 10.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 25.00 ล้านบาทโดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท เสนอขายให้แก่นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ ราคาหุ้นละ 10.00 บาท วัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทมีคุณสมบัติครบถ้วนในการขออนุญาตเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ ทำให้นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 76.00 และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 24.00 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ทั้งนี้บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2556
บริษัทเปลี่ยนแปลงชื่อจากเดิม บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด เป็น บริษัทบริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด โดยบริษัทได้ยื่นคำขอเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทยและบริษัทได้รับอนุมัติให้จดทะเบียนเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในเดือนพฤศจิกายน 2556 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากบริษัท บริหารสินทรัพย์ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 58.68 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็นครั้งแรกในนามบริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด
ในเดือนพฤษภาคม 2557 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากบริษัท บริหารสินทรัพย์ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 110.60 ล้านบาท
วันที่ 28 กรกฎาคม 2558 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่ 1/2558 มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 75.00 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 25.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 100.00 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 7,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท เสนอขายให้แก่นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ ในราคาหุ้นละ 10.00 บาท วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทำให้นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 70.00 และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30.00 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ทั้งนี้ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2558
ในเดือนพฤศจิกายน 2558 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากบริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อธุรกิจมูลค่ารวมทั้งสิ้น 44.00 ล้านบาท
วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่ 1/2559 มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 30.00 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 100.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 130.00 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในราคาหุ้นละ 30.00 บาท คิดเป็นเงินรวม 90.00 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนจดทะเบียนเพิ่ม 30.00 ล้านบาท และส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญหุ้นละ 20.00 บาท หรือคิดเป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้นรวม 60.00 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ แต่เนื่องจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ผู้ถือหุ้นเดิมทุกท่านสละสิทธิการจองซื้อหุ้นสามัญใหม่ โดยมีนายศึกษิต เพชรอำไพ เพียงท่านเดียวที่มีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญใหม่ และใช้สิทธิเกินสิทธิเท่ากับจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกท่านสละสิทธิจึงทำให้นายศึกษิต เพชรอำไพ ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.08 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ทั้งนี้ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2559
ในเดือนตุลาคม 2559 นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทจากการถือหุ้นในนามบุคคลเป็นถือหุ้นในนาม บริษัทไนท์ คลับ แคปปิตอลโฮลดิ้ง จำกัด (“KCCH”) สัดส่วนการถือหุ้นรวมกันร้อยละ 76.92ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว โดยนายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน KCCH ในสัดส่วนร้อยละ 70.00 และร้อยละ 30.00 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ตามลำดับต่อมาในเดือนธันวาคม 2559นายศึกษิต เพชรอำไพ ได้จำหน่ายหุ้นของบริษัททั้งหมดในสัดส่วนร้อยละ 23.08 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ให้แก่นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี ในสัดส่วนร้อยละ 16.15 และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ สัดส่วนร้อยละ 6.92 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 30.00 บาท ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่นายศึกษิต เพชรอำไพ ได้ซื้อหุ้นของบริษัทในช่วงเดือนพฤษภาคม 2559
ในระหว่างเดือนมีนาคม – พฤศจิกายน 2559 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อรายย่อย (Retail Loan) ประกอบด้วย ลูกหนี้บัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อบุคคล (Credit Card & Flash Cash) ลูกหนี้สินเชื่อสารพัดนึกและสินเชื่อบุคคล และลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อภายหลังบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกรณีที่ได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนและจำหน่ายรถที่เช่าซื้อออกไปแล้ว (“ลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์”) รวม 5 ครั้ง มูลค่าสุทธิรวมทั้งสิ้น 85.45 ล้านบาท
ในเดือนธันวาคม 2559 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อธุรกิจ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 20.00 ล้านบาท
วันที่ 15 ธันวาคม 2560 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่ 2/2560 มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 50.00 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 130.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 180.00 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในราคาหุ้นละ 10.00 บาท วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทั้งนี้ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560
วันที่ 26 ธันวาคม 2560 นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี ได้ขายหุ้นบริษัทจำนวน 1,500,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10.00 บาท คิดเป็นร้อยละ 8.33 ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว ให้กับนายโคบี้ บุญบรรเจิดศรี ซึ่งเป็นบุตรชาย ทำให้นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี ถือหุ้นในบริษัทเหลือ ร้อยละ 7.82 ของทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว (ไม่รวมหุ้นที่ถือผ่าน KCCH)
ในเดือนพฤษภาคม 2560 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจมูลค่ารวมทั้งสิ้น 0.05 ล้านบาท
ในเดือนมิถุนายน และเดือนตุลาคม 2560 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย จำนวน 2 ครั้ง มูลค่ารวมทั้งสิ้น 142.51 ล้านบาท
ในเดือนมีนาคม 2561 KCCH ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัททั้งหมดสัดส่วนร้อยละ 76.92 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ให้กับนายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี และนายทวีกุลเลิศประเสริฐ ในสัดส่วนร้อยละ 70.00 และร้อยละ 30.00 ของสัดส่วนการถือหุ้นที่ KCCH ถืออยู่ในบริษัทตามลำดับ ในราคาหุ้นละ 10.00 บาท ทำให้นายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี และนายทวี กุลเลิศประเสริฐ ถือหุ้นในบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 61.67 และร้อยละ 30.00 ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว ตามลำดับ
วันที่ 19 ตุลาคม 2561 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่ 1/2561 มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 50.00 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 180.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 230.00 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน ในราคาหุ้นละ 10.00 บาท วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทั้งนี้ บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561
ในเดือนมิถุนายน 2561 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อธุรกิจ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 14.24 ล้านบาท
ในเดือนกันยายน 2561 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย มูลค่ารวมทั้งสิ้น 45.43 ล้านบาท
ในเดือนตุลาคม 2561 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมูลค่ารวมทั้งสิ้น 93.86 ล้านบาท
บริษัทฯ ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อเสนอขายต่อผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 10 ราย ในรอบระยะเวลา 4 เดือนใดๆ จำนวน 120,000 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000.00 บาท คิดเป็นมูลค่า 120.00 ล้านบาท อายุ 1 ปี (วันที่13 กันยายน 2562 – 13 กันยายน 2563) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.00 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ซึ่งครบกำหนดและได้ทำการไถ่ถอนหุ้นกู้เรียบร้อยแล้ว
บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อธุรกิจ จำนวน 3 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และพฤศจิกายน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 38.63 ล้านบาท
บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อธุรกิจจำนวน 2 ครั้ง ในเดือนกันยายน และธันวาคม มูลค่าสุทธิรวมทั้งสิ้น 201.05 ล้านบาท
ในเดือนพฤศจิกายน 2562 บริษัทฯ จำหน่ายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์จำนวน 2 แห่ง ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อรายย่อย ประเภทลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ไม่มีหลักประกัน และศาลพิพากษาแล้ว มูลค่ารวม 14.99 ล้านบาท
ในเดือนมิถุนายน 2563 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย (Housing Loan) มูลค่าสุทธิรวมทั้งสิ้น 88.00 ล้านบาท
บริษัทฯ ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อเสนอขายให้กับบุคคลในวงแคบไม่เกิน 10 ราย (PP10) จำนวน 150,000 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท คิดเป็นมูลค่า 150.00 ล้านบาท อายุ 2 ปี (วันที่ 2 ตุลาคม 2563 – 2 ตุลาคม 2565) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.00 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 และเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
มูลค่าสุทธิรวมทั้งสิ้น 88.00 ล้านบาท
ในเดือนสิงหาคม 2563 บริษัทฯ จำหน่ายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อรายย่อยที่ศาลพิพากษาแล้วที่บริษัทฯ มีทั้งหมด มูลค่ารวม 13.85 ล้านบาท จึงทำให้บริษัทฯ ไม่มีพอร์ตในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประเภทลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยแล้ว
ในเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2564 บริษัทฯ จำหน่ายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่น 1 แห่ง และบริษัทที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน 1 แห่ง ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อธุรกิจ ที่มีหลักประกัน ที่ศาลพิพากษาแล้ว และเป็นลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน มูลค่ารวม 13.77 ล้านบาท
ในเดือนกันยายน 2564 บริษัทฯ ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจ มูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยตามสิทธิ์เท่ากับ 360.64 ล้านบาท
– อนุมัติการแปรสภาพของบริษัทฯ จากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โดยใช้ชื่อว่า “บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)”
– อนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทฯ จากหุ้นละ 10.00 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มจาก 23 ล้านหุ้น เป็น 460 ล้านหุ้น
– อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 80.00 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 230.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 310.00 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุจำนวน 160 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เสนอขายให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งนำหุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ บริษัทฯได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ และทุนจดทะเบียนใหม่ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564
บริษัทออกหุ้นกู้จำนวน 350,000 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000.00 บาท คิดเป็นมูลค่า 350.00 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย โดยมีรายละเอียดดังนี้
บริษัทออกหุ้นกู้จำนวน 500,000 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000.00 บาท คิดเป็นมูลค่า 500.00 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย โดยมีรายละเอียดดังนี้
– อนุมัติแผนการปรับโครงสร้างและการดําเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัท
1. อนุมัติแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัท
2. อนุมัติการขอเพิกถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ
3. อนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการซึ่งจะมีบริษัท โฮลดิ้ง เข้าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท
4. อนุมัติการมอบอำนาจซึ่งเกี่ยวข้องกับแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ
บริษัทออกหุ้นกู้จำนวน 400,000 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000.00 บาท คิดเป็นมูลค่า 400.00 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกหุ้นกู้และเพื่อใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย โดยมีรายละเอียดดังนี้
โปรดป้อนชื่อผู้ใช้หรือที่อยู่อีเมลของคุณ คุณจะได้รับลิงก์เพื่อสร้างรหัสผ่านใหม่ทางอีเมล